วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2556

แปลวรรณกรรม เรื่อง พระลักพระลาม

หนุมานสู้ยักษ์ ( หน้า 77 - 86 )
ครั้งนั้น ข้าก็เอามือซ้ายจับราชา มือขวาก็ถือดาบลางเซ็งง้าว แล้วก็กวัดแกว่งไว้ฟาดฟันยักษ์หลวง ฆ่าตายหมดเมือง แล้วข้าก็เนรมิตตัวเองเป็นยักษ์ตัวใหญ่ให้ดูกลมกลืน แต่แล้วยักษ์ก็พูดจาท้าทายหนุมานว่า กูไม่กลัวมึงหรอก ถึงมึงจะฟันพวกกูตายเป็นสิบล้านครั้งก็เถอะ จากนั้น ยักษ์ก็พูดจาเสียงเข้มด้วยความโกรธและโมโหมาก แล้วพูดต่ออีกว่า ถึงมึงจะฟันกูแต่กูก็ไม่ตาย เพราะดวงใจอันประเสริฐของกูจะไม่เลือนหาย จากนั้นหนุมานก็ครุ่นคิดว่าจริงๆแล้ว ข้าก็ส่องด้วยมนต์แห่งตาทิพย์ ก็จึงเห็นดวงใจอยู่บนดอยเขาแก้ว แล้วจากนั้น ข้าก็เนรมิตแขนให้ยาว และไม่ช้าเพื่อที่จะเอื้อมไปให้ถึง แต่ยังไปไม่ถึงยอดเขานั้นหลวงคันธมาต ข้าก็เหาะตัวเต้นผยองไป และแล้วมาถึงห้องกลางเกาะมหาสมุทร พระลามนำข้าไม่ช้ารีบลง จากนั้น เขาว่ากันว่าผียักษ์พยายามจะไล่กิน เจ้าเอย
            ครั้งนั้น หนุมานท้าวพะลีจันทร์เร่งรีบ ข้าก็เหาะเต้นไปยังผีสางทั้งหลาย ข้าก็พยายามต่อต้านให้ฝูงผียักษ์นั้นถอยไป กูจะไม่ไว้หน้าพวกผีอย่างมึงอีกแล้ว จากนั้น ผีก็พูดตอบเสียงแข็งกลับมา จากนั้น หนุมานกับท้าวพะลีจันทร์ก็ร่วมมือกัน ตกวัดแกว่งต่อสู้จนยักษ์ตายไปหมด จากนั้น จอมพระรามกลับนอนฝันสะดุ้งตื่น ข้าก็ตื่นเช่นกัน อันว่า ขุนบอกให้พระรามกระจายอำนาจ จากนั้น พระรามต่อต้านพระลักอ่อนกว่าเจ้าข้าเอย เจ้าจงเอาธนูแก้วมาไว้ให้แก่พี่เถิด แต่นั้น พระลักกลับแกว่งธนูเหมือนดั่งภูผาอย่างรุนแรง ปืนก็โดนผีร้ายจนคอขาดตายเป็นกองไปแล้ว จากนั้น หนุมานแก้วพะลีจันทร์เลยไล่ไป แล้วยักษ์ก็กลัวจนรีบหนีไป จากนั้น พระลามก็คะนึงคิดในใจ ว่าพญาห้ามใจร้ายบาปอธรรมไม่ได้แล้ว เพราะมันก็จะทำให้เป็นอันตรายแก่พวกพลทั้งหลาย จากนั้น พะลีจันทร์กับหนุมาน ก็ได้พากันเดินทางมาหาพระลาม จากนั้นก็ยกมือก้มกราบ แล้วกล่าวทูลว่า ข้าน้อยได้ฟันฝ่าพวกผีร้ายจนมาถึงเมืองพระลามแล้ว
            จากนั้น ยักษ์ก็ต่างพูดจากันต่างๆนาๆ แล้วทีนี้ เราก็จะเอาพระลามไปผูกมัดซ่อนไว้ และพี่น้องทั้งสองไปผูกกันไว้ ให้แน่ใจก่อน ค่อยลงมือทำอะไร แล้วอย่าให้หลุดมือไปได้โดยเด็ดขาด เมื่อยักษ์กล่าวแล้วก็เพ่งมองดูจอมกษัตริย์ จากนั้น พระลักก็ได้กอดเต็มแรง ข้าก็พูดจาต่อแก้วว่าข้าจะเป็นบ่าวหนุมาน ให้จงรีบเหาะกลับไปเมือง จากนั้น หนุมานก็เร่งรีบ จริงแล้ว ข้าก็ถึงห้องพระลามนานแล้ว แต่นั้นพระลักกลับย้ายที่ลีลาเยอะ ถึงราชาที่ตนเองเลยก้มลง แปลว่า จอมหัวหน้าก็ยังคงคอยอยู่ แต่ว่า ผียักษ์ร้ายมันเอาใส่คอกไว้แล้ว แล้วบอกว่า ข้าพระบาทองค์น้อยก็ยังอยู่คนเดียว แต่ว่า เขาตายร้างไปแล้วทั้งเมือง ก็จึงพาพระอวนข้าออกมาได้ แต่หาก ท้าวก็กล่าวต่อน้องว่า ขอไว้แค่นี้ก่อน คราวหน้าค่อยว่ากันใหม่
ยักษ์เอาพะลีจันทร์ใส่คอก
            บัดนั้น จะกล่าวถึงพะลีจันทร์เจ้าแห่งเมืองใหญ่ นั้นแล้ว ข้าก็รีบมา เห็นแต่คอกคุมขัง มองไปทางไหนก็มีแต่หินผาเป็นล้านๆ เมื่อนั้น ข้าก็คิดถึงคำที่พ่อเคยสอน ว่าที่จริงแล้ว ก็จึงร่ายมนต์แรงๆให้หินมันพัง ท้าวออกจากคอกได้ก็วิ่งไปมา ก็จึงคิดฉลาดรู้ถึงปัญญาแก้วแห่งตน ว่าที่แท้แล้ว ไม่ใช่ธรรมชาติเชื่อคนเราในโลกนี้  แต่นั่นผียักษ์ร้ายลวงโลกนั้น แต่นั้น พอแสงพระอาทิตย์สอดส่องแล้ว ท้าวก็ยืนเหมอเลี้ยวมองเมฆ จากนั้น หนุมานก็ยกมือไหว้พ่อ แล้วว่า ผียักษ์ร้ายมานี้ไปหนี แต่หากนั้น พระลามก็จับเอาแก้วธนูศิลป์ขึ้น แล้วยิงใส่ผียักษ์ร้ายตายอำนาจ จากนั้น ยักษ์นับสิบล้านตนก็เวียนมามากมาย แล้วก็มาพังทำลายชิงเอาพระลาม พอเมื่อพระลามเจ้ายิงธนูแผลงผ่า เมื่อใด ยักษ์ก็ยกภูเขาบังเอาไว้  แล้วว่าจอมพระลามได้ยิงธนูเล็งออกไป เมื่อใดยักษ์ก็ยกแผ่นหินรีบมาบังหน้า พอเมื่อพระลามนาถเจ้ายิงธนูไกวแกว่ง เมื่อใด ปืนก็ผันมาม้างเวียงหินแตกพังหัก ภูผาพังลงเป็นอย่างนั้น
            เมื่อนั้น ยักษ์ก็ยกภูเขาขึ้นสู่ท้องฟ้า แล้วกล่าวว่าจะโยนทิ้งลงไปดั่งสายฝน เมื่อนั้น พระลามก็ยกธนูยิงผ่า แล้วปีนขึ้นสู้ท้องฟ้า เพื่อหลบหนีพวกผีร้าย ปีนเข้าไปถึงฝูงยักษ์ เขาก็ยกภูรับแล้วรีบหนีไปข้างหน้า ต่อจากนั้น ข้าบ่าวก็ได้บอกกับหนุมานเห็นพะลีจันทร์มองเห็นอยู่ที่ลานหิน ข้าก็เอาพะลีจันทร์แก้วผันตัวอย่างเร่งรีบ สองมือเจ้าก็ถึง ไปจนใกล้ยักษ์ผีใหญ่ สองเจ้านั้นก็รีบเข้าไม่รีรอ ท้อแต่สองคนนั้นฟันไปเรียบ สองตนนั้นไม่มีเกรงกลัวใครๆเลย ยักษ์ตายอำนาจ นอนทับก่ายกอง เหมือนดั่งขอนไม้เรียงต้น ต่อมาพระลามก็นึกคิดถึงน้องสีดาจันทราแจ่มแจ้ง  ทั้งคิดถึงคะนึงหา ข้าก็รู้ทั้งรู้ว่าตอนนอนนั้นจะรู้สึกเหงาจริงแท้ สองก็คิดถึงบาทจอมเมือง เพ้อว่า พลหลวงเจ้าพาพระลามพนันกันไว้ เพราะรู้ว่าพวกบ่าวไพ่ยังไงก็จะแก่ตาย แล้วพอถึงเดือนสามฝูงนกกาเว่าก็จะร้องร่ำ เสียงกาดำร่ำร้อง ดังกา กา กา ข้าก็คอยคิดคำนึงถึงพี่ พออยากที่จะกระโดดขึ้นไปบนฟากฟ้า น้องก็กลัวแต่ไม่เห็นเจ้านั้นเคียงข้างน้อง แล้วมาเสียดายแก้วหนุมานพระลักนั้นด้อยกว่า กลัวเจ้านั้นจะตายจากพี่เสียก่อนน้องเอย
            เมื่อนั้น ท้าวบ่นแล้วก็เล่าผ่านไป นำกระดานผาค่อยๆไปค้อย พอเมื่อแสงแดดอ่อนยามเย็น ท้าวก็กินหมากไม้แล้วเตรียมตัวเข้านอน พอนอนก็หลับฝันเห็นพี่ พระลามนั้นทั้งพระลักและหนุมานแก้วทั้งหมดนั้น พอตกดึกแล้วถึงได้หลับก็เกือบจะรุ่งเช้า ฟานป่าวร้องเสียงดังอยู่ในดงกว้าง ข้าก็ลุกๆนั่งๆนอนๆครุ่นคิดหาจอมเจ้า พอเมื่อแสงอาทิตย์ขึ้นพ้นแสงส่องข้าท้าวค่อยไป พอเมื่อข้าคิดถึงความฝันทั้งหลายนั้น พระเผ่าผู้พระอวนก็อยู่ที่นั่นแล้ว เมื่อนั้น ข้าก็กระโดดขึ้นสู่ท้องฟ้า ถึงพระลามและเชื้อสายเผ่าพงษ์กษัตริย์ ข้าก็รีบหลบลงมาโดยไม่ยั้งรอ  แต่นั้น พระลามก็มองเห็นน้องนาถ ใจเต้นรุนแรงด้วยความดีใจทั้งดมแก้วยอดพะลี เมื่อนั้น ศรีกษัตริย์เห็นตอนล้มเท้า เสน่ห์นั้นก็ได้เป่าหู จากนั้น มันก็เป็นไปตามกรรมเก่าที่จะพรากเราไกลห่าง บุญเรามีมากน้อยก็รู้ๆกันทั้งสี่นี้  จากนั้น พี่ก็ยังคงยืดมั่นเป็นหมื่นวันพันปี เมื่อนั้น พระลามก็ได้กล่าวต่อพะลีจันทร์ว่า หากเจ้ากับข้าพลัดพรากกันไกลแสนไกล ก็คงเพราะพญาร้ายนั้นให้เรามาถึงครึ่งทางแล้ว เพราะว่าเราไม่ได้บุกทำลายเมืองใหญ่ลังกาเลย แล้วก็ไม่หนีไป เพราะว่าสีดาแก้วกัลยาเมียข้านั้น ข้าตายเป็นผงไปจึงจะยอมเสียเมื่อนั้น พระลามบ่นแล้วเล่าแบบหงุดหงิด มือก็กวัดแกว่งอยู่ไม่สุข
            แต่นั้น หนุมานก็พูดคุยกับพ่อคำงาม ขอพระนั้นอย่าได้เคืองกับคำร้องขอ ที่ว่ามหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาล ก็ไม่เกรงกลัวอะไรทั้งนั้น พอพูดคุยกันจบแล้ว ก็ได้พากันแยกย้าย เขาก็ตกแต่งพร้อมทั้งสิ่งของมากมาย ทั้งแกง ทั้งขนมต้ม ขนมหวาน เมื่อนั้นพราหมณ์ก็หาฤกษ์งามยามดี เมื่อกราบไว้วันนั้นถูกยาม เมื่อนั้น ขุนก็ยกขันขึ้นเพื่อถวายพระราราช กลุ่มนักปราชญ์นั้นก็มาพร้อมหน้าพร้อมตากันทุกคน  ทั้งเสนานั้นก็มาร่วมพูดคุยรอบล้อมกันทุกวัน แต่นั้น พราหมณ์ก็ถวายคำอวยพรแก่พระราช นักปราชญ์ก็คลานเข้ามา เมื่อนั้น พราหมณ์เจ้าบ้านก็ยกถาดบายศรี แล้วกล่าวคำบายศรีสู่ขวัญให้กับทุกๆคน มาเด้อขวัญเอย ขวัญพระลามเจ้าตกอยู่ที่ใด ก็ให้กลับมา ขอให้กลับมาอยู่เคียงร่าง ใจที่นี้  ขวัญพะลีจันทร์เจ้านั้นตกอยู่ที่ใด จะอยู่กลางป่าก็ให้คืนกลับมา ขอให้กลับมาเพื่อจะอยู่คุมลูกน้องทั้งหลาย มาเด้อขวัญพระลักษ์เจ้าอยู่ที่ใด อยู่ให้คืนกลับมา ต่อจากนี้ข้าจะเชิญขวัญแก้ว หนุมานผู้ประเสริฐ ขอให้มาคุ้มครอง พอเมื่อท่านพรามหณ์ได้ถวายพรแล้ว ก็ได้เอาน้ำดอกไม้มาชำระล้างตัว พอพิธีเสร็จสิ้นลง เหล่าเสนาทั้งหลายก็แยกย้ายกลับ
            เมื่อนั้น พระรามก็พูดคุยกับพะลีจันทร์ รวมทั้งหนุมานนั้น บอกให้ไปดูให้ดี ให้ไปตามทางเมืองลังกาเกาะใหญ่ทางนั้น แล้วบอกว่าเข้าใจดีแล้วให้รีบกลับมา เพราะทางพี่นั้นกระวนกระวายใจอย่างมาก เพราะไม่เห็นหน้านางจนจะขาดใจ เมื่อพูดคุยกันเสร็จสิ้นแล้วก็ต่างเดินทางกลับถึงมหาสมุทร สองนางก็เดินเล่นไปตามริมน้ำ แต่ก็ไม่ใครสักคนแต่หากก็ยังคงดั้นด้นต่อไป
หนุมานพบมะกัดติง
            บัดนี้จะกล่าวถึงผู้ประเสริฐที่มีชื่อว่ามะกัดติง ซึ่งก็อยู่ดินแดนที่ไกล และนั้นยังคงรูปร่างคล้ายคลึงหนุมาน มีคาถาอาคมเหมือนๆกัน ซึ่งก็อยู่ใกล้ที่พัก เมื่อนั้น สองกษัตริย์เจ้าน้อยพะลีจันทร์ ทั้งหนุมานนั้นรีบไปที่พัก แต่นั้นแล้วก็จึงไปพบเจอกับเจ้ามะกัดติง แล้วเกิดเป็นชื่ออุทรแก้วลูกลิง ก็หากเป็นแต่เตโชพระรามแห่งโพธิสัตย์ ก็เชื่อว่าสมภารพระแด่หลังที่สร้างไว้ เมื่อนั้นหนุมานก็ถามมะกัดติงว่า ทางข้ามแม่น้ำอยู่ที่ไหน แต่นั้นมะกัดติงก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ ต่อมามะกัดติงก็ขอไปด้วย ก็ไม่มีผู้ใดขัดข้อง แล้วหนุมานได้ถามว่า เจ้าจะทำอย่างไรต่อไป ข้าจะไม่ขวางพระราชาเลย และจากนั้นหนุมานก็ได้ต่อรองกับมะกัดติง ว่าแต่ก่อนเล้งโญพระไม่ขืนใจหรอก จากนั้นข้าก็เหาะขึ้นสู่ท้องฟ้า แล้วข้าก็มากราบไหว้พระราม ถวายเรื่องราวทางข้ามแม่น้ำไม่มี แต่นั้นพระรามก็ถามมะกัดติงว่าเจ้านั้นอยู่ทางไกลนั้นแหละ จากนั้นพระรามก็ถามอีกว่า ท่านอยู่ทางนี้ท่านรู้ทางข้ามแม่น้ำหรือเปล่า จะเป็นประโยชน์อย่างมากจึงได้ถาม แต่นั้นพระรามเอ่ยชื่อมีอำ เราก็ไปตีเมืองใหญ่ลังกาเสีย หากว่าพญาทราบนี้ขโมยเมียเรา เราจึงมาถามถึงในทางนี้ เมื่อนั้นหนุมานพูดคุยกันแล้วยกมือไหว้พ่อ จากนั้นข้าก็ลงไปในมหาสมุทร เพราะว่าพ่อเจ้าขอไว้อภัยโทษ แต่ว่าเจ้านั้นจะทำสิ่งใดก็ดี ก็จึงพูดต่อมะกัดติงออกไปนั้นว่า มะกัดติงนี้มีอิทธิฤทธิร้ายกาจ ดูมีอำนาจมากกว่าข้าเสียอีก
หนุมานไปเมืองลังกา
            เมื่อนั้นหนุมานก็ลีลาท่าทาง ข้าก็เนรมิตให้เป็นปลาใหญ่ แล้วแฝงตัวเข้ากับฝูงหมู่ปลาใหญ่ แล้วไปเที่ยวชมสาวๆนางปลา ดั่งรูปร่างที่เคยได้ยินมา จากนี้ก็จะกล่าวถึงนารีแก้วผู้เป็นลูกสาวของพญา นางนั้นเท้ามือก็พร้อมเสมอต้นเสมอปลาย หุ่นของนางขาวผุดผ่องดั่งฝ้าย ด้านเท้าของนางดั่งปลาที่อยู่ในน้ำ นางมัสสาพร้อมบริวารเป็นพันเพราะนางเป็นเจ้าแห่งเขานี้ เมื่อนั้นหนุมานก้าวเข้าสู่เมืองปลา จึงมองเห็นนางมัสสาผู้เลอโฉม ข้าจึงเข้าไปทักทายนางมัสสา เมื่อนั้นข้าก็คิดอยากได้นางมัสสามาเป็นเมียของข้าจริงๆ แล้วข้าก็เข้าไปพูดคุยกับนางแล้วบอกว่า ข้าคิดว่าข้าได้นอนกอดนาง แล้วนางก็ไม่ขัดขืนอะไรเลย จากนั้นนางก็ได้พูดขึ้นว่า นางจะพาไปพบปะกับพ่อแม่ แล้วข้าก็ขอนางไปให้พ่อแม่ดู หากพ่อแม่ยอมรับข้าจึงจะเอานาง
            เมื่อนั้นหนุมานก็ถามนางว่า พ่อแม่ของเจ้าอยู่ที่ใด แล้วนางก็ตอบมาว่า พ่อของนางนั้นอยู่ที่เมืองลังกา เป้นราชาครองเมือง ถ้าถ้ายอมให้ แล้วนางจะรีบกลับมา น้องจะพูดคุยกับพ่อทุกวัน เมื่อนั้น นางก็ไม่รีรอรีบไปเมืองลังกา จากนั้นนางก็เนรมิตตัวให้รูปงามเลอโฉม รูปปลาร้ายนั้นหายไปหมด จากนั้นนางก็เข้าไปในเมืองลังกาแล้วขึ้นไปกราบไหว้ทูลพ่อพญา บัดนี้ก็อยากได้นางเป็นเมีย นางขอบคุณเล็งโญที่รักนางขนาดนี้ แล้วพอพญาทราบก็ได้ถามหาสามีของนาง และพ้องเพื่อนแห่งดินแดนมหาสมุทร
            แต่นั้นนางก็ยังถูกพ่อแลกเปลี่ยน แล้วบอกว่าหากว่าเลือกได้ก็ให้เลือกเอาพวกของพลพระราม และก็ไม่ควรที่จะเอาคู่ซ้อน พอนางบอกกล่าวพ่อแล้ว ก็เร่งรีบกลับสู่เมืองในน้ำ แล้วก็มากราบไหว้ข้าบ่าวหนุมาน แล้วพ่อเจ้าก็มอบบางอย่างให้ แล้วกล่าวต่อว่าเจ้านั้นยังคงได้สิทธิใหญ่พลพระราม พ่อจะเชิดชูและจะไม่ขัดขืนแต่อย่างไร
            เมื่อนั้นหนุมานพูดคุยกับนางคนงามว่า ข้าจะไม่หนีใครเลย จะไม่เกรงกลัวใครด้วย จากนั้นนางก็ไม่ช้าที่จะเอนแนบนอนข้างๆ มือของนางนั้นอยู่แก้ว ถึงแม้จะดูว่านางมีลูกแล้ว ซึ่งก็ได้คลอดลูกแล้วเป็นลูกชายคนเดียว และยังมีฤทธิเดชแกล่งกล้าเหมือนหนุมาน อย่างที่ข้าคิดเอาไว้ แต่ข้าก็ยังอยู่กับนาง ถึงก็นานถึงปรกว่าๆแล้ว เราจะไปชวนพวกพ้องฝูงปลา เพื่อจะฆ่าพลพระรามให้ตายในวันนี้ ไม่ให้ไปถึงแก้วราชาพญาพ่อ เมื่อพูดคุยกับนางมัสสาแล้ว นางก็เร่งรีบไปอย่างไม่รอ แล้วเขาก็ตอบกลับมาทั้งสิบล้านตน แล้วเขาก็มากราบไหว้นางมัสสาหลวงแล้วบอกว่า เจ้าหัวเมืองนั้นมาเยือนเมื่อไหร่แล้วจะรีบแจ้ง บัดนี้กูจะให้พวกมึงคิดค้นมหาสมุทรให้เป็นหาด แล้วกูจะพาพวกฆ่าพระรามให้อย่างง่ายดาย แล้วบอกว่าพระรามจะไปเมืองพ่อกูนั้น กูจะจองเวรต่อไปในวันข้างหน้า พอเมื่อพูดคุยกับหนุมานให้ไปบอก แต่พวกมึงก็ต้องพากันไปให้ถึงเมืองลังกาเอง เพราะหลังจากนั้นไม่ว่าคนไหน ก็ต่างพอๆกัน
            เมื่อนั้น หนุมานบอกกล่าวฝูงปลา ถ้าหากถึงที่หมายแล้วนั้นพวกเราจะหลบอยู่เสียก่อน แล้วจะบอกต่อว่าคนใหญ่ของเจ้าพระรามแล้วให้พากันมา กล่าวไว้ว่าเพียงแค่เสียงก็หากินได้แล้ว พอพูดกล่าวเสร็จสิ้นฝูงปลาก็ต่างชื่นชม เขาก็ไม่ชักช้า หากแต่จะรุนแรงแล้วฝูงปลานั้นจะขี้เกียจเสียก่อน ก็เพื่อมหาสมุทรกว้างใหญ่ที่เป็นประโยชน์แก่เราทั้งหลาย ลึกประมาณเจ็ดชั่วของต้นตาล ตาอย่างไรนั้นหนุมานก็ได้มองเห็นทั้งหมดแล้ว ข้าไม่ช้าอยู่ใยรีบออกมา นั้นนางมัสสาแก้วไม่เห็นปลาดิ้น พระพี่ก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว อ้ายนี้ก็มาจากน้องตอนเย็นเสียจริงๆ เจ้าก็บอกน้องเอาไว้ว่านอนเสียเถิด อย่าได้ไปคอยอ้ายพี่เลย จากนั้นนางก็อุ้มลูกน้อยไปหาพ่อพญาหลวง บอกหลานคนนี้ช่างประเสริฐ จะทำอะไรก็เล่ามาให้เป็นการเป็นงาน บอกว่าถึงจะอยู่ต่างถิ่นก็ยังดี และไม่มีอะไรจะทำร้ายหลานคนนี้ได้
            จากนั้นพญาทราบแล้วก็ต่างยินดีชื่นชม ก็เพราะมีสายเลือดในตัวหลานั้นคอยสืบทอดเมือง บอกว่าลูกเขยต่างสายเลือดนั้น ยังอยู่กับนาง จากนั้นนางมัสสากล่าวแถลงคำกับพ่อ บอกว่าลูกเขยนั้นของพระบาทนั้น ก็หากแต่จะคิดฆ่าพระรามอยู่ทุกวัน ข้าก็เลยต้องพานายน้อยแปลงงานเพื่อที่จะได้เข้าหาพระราม เขามาถึงแม่น้ำใหญ่ ลูกเขยเจ้าก็คงจะคาบไปกิน บัดนี้ก็หนีไปแล้วพลัดพรากกันจริงๆ จนได้พบเจอกันทั้งหมดที่ตรงนั้น เขยเจ้านั้นช่างประเสริฐมีบุญจริงๆ ทั้ง ฤทธิเดชแรงกาจเทียบเท่าพระอินทร์ จากนั้นเขยที่ยินดังนั้นแล้ว ก็เสียดายแก้วเขยของกูผู้ประเสริฐ จากนั้นเจ้าก็พลัดพรากข้างกายแก้วมัสสา พ่อก็ได้แต่เชื่อว่าเป็นจุดแข็งของเมือง เมื่อนั้นพญาทราบก็ถามหลานน้อยแก้วแก่นกุมาร ที่ชื่อว่า อุทร แต่นั้น พญาได้หลานน้อยผู้ประเสริฐก็ได้ใจ เพราะข้าคิดไว้อย่างไรมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ
พระรามสร้างรั้วหินเข้าลังกา
            บัดนี้ จะกล่าวถึงเจ้าหนุมานผู้ประเสริฐ ข้าก็เพิ่งออกมาจากในน้ำเพื่อเที่ยวหานั่นนี่อย่างเร็ววันไปถึงพระรามจอมเจ้า แล้วก็ไปกราบไหว้พระรามและองค์กษัตริย์ บัดนี้หากพูดคุยได้แล้วถึงท้องมหาสมุทรขอแก่เล็งโญเพราะหากคิดต่างไปข้างหน้า เมื่อนั้นพระรามก็ต่อรองกับมะกัดติงและหนุมานนั้นรีบเร่งไปเดี๋ยวนี้ จะสร้างเป็นรั้วแก้วคุมเมืองให้พญาทราบภายหลัง แล้วเราค่อยนำไปถึงเรื่องนั้น เมื่อนั้น นางมัสสาแก้วลูกสาวพญาทราบ นางก็แอบฟังถึงเหตุการณ์ แต่นั้น นางได้ยินพระรามพูดคุยหลายเรื่องว่า อยากรวมน้ำให้เป็นตัวเข้าสู่เมืองพ่อ ซึ่งนางก็ไปชวนพวกพ้องหมู่ปลาชะโด แล้วก็เอาหางคุ้ยเอาก้อนหิน หากว่าเขาปล่อยทิ้งลงไปแล้วรีบรับเอานะ แบ่งให้หินกองขึ้นเป็นแนวรั้วเขาจะมาทำลายเมืองลังกาในอีกไม่นานแล้ว อย่าให้ไปถึงแก้วราชาพระพ่อกูโดยเด็ดขาด นางมัสสากล่าวขอร้อง และขอให้ยุติเอาไว้เท่านี้
            บัดนี้ จะกล่าวถึงพระรามผู้มีอำนาจเสียก่อน หากได้บอกกับมะกัดติงและหนุมานแล้วว่า ให้รีบไปอย่าชักช้า แล้วทั้งสองก็เสด็จลับเข้าไปในท้องฟ้า พอถึงภูผาก็ถอดหินนั้นกองเอาไว้ หนุมานอมเอาหินนั้นได้หลายหมื่น เอาเท้าคีบได้อีกมากมาย ส่วนหางก็กอดเอาหูทั้งสองข้างอีก แรงเลิศล้ำของหนุมาน แล้วยังเอาขนตามร่างกายพันเอาหินอีกมากมาย ส่วนมะกัดติงก็อมเอาก้อนหินช่วยกัน แล้วก็เอาทุกส่วนของร่างกายคีบเอาหินนั้น แรงมหาศาลพอๆกันทั้งสองกษัตริย์ต่างก็เร่งรีบ พอมาถึงเจ้าพระรามแล้วทั้งสองก็ได้วางก้อนหินลงสู่แม่น้ำมหาสมุทร หากว่านางมัสสาแก้วก็รีบเอาไปทิ้งทางทิศใต้ รวมทั้งหมู่เสนาที่เอาหินไปทิ้งที่อื่นเพราะกลัวจะไปทำร้ายพ่อตน
            เมื่อนั้น หนุมานกับมะกัดติง เชื่อใจคิดว่าโดนผัวทำร้าย แต่ก็ได้พูดคุยกันใหม่อีกครั้ง ข้าบ่าวก็ได้บอกมะกัดติง เจ้าจงเอาก้อนหินทั้งหลายนี้ใส่หลังข้า พอคุยกันแล้วมะกัดติงก็จากไป หนุมานก็ลงไปทางลุ่ม มะกัดติงก็เอาภูเขามาถึงพอดี มาดักรอแล้วจึงถาม ภูเขานี้เกินแรงอย่างมาก ให้วางทิ้งลงที่ไหนก็ได้ แต่นั้น หนุมานก็บอกมะกัดติง ให้เจ้านั้นวางหินทิ้งลงทีละก้อน เมื่อนั้น มะกัดติงเจ้าก็จะมีแรงเพิ่ม ก็จึงกวัดแกว่งทิ้งลงเป็นพันๆก้อน มะกัดติงกล่าวว่า กูจะเอาลงพื้นมหาสมุทรทางลุ่ม หากว่ามันจะยั้งไม่ได้แล้วฆ่าทิ้งเสีย
            เมื่อนั้น หนุมานก็ได้พูดคุยกับมะกัดติง บัดนี้เองเจ้าจงเอาไว้ที่พื้นไม่ให้ลงไปแล้ว ข้าจะไปเอาก้อนภูดอยมาใส่ เจ้านั้นจงลงไปดูเอาไว้ อย่าให้เสียหาย เมื่อนั้นหนุมานก็ได้เร่งรีบดึงเอาภูดอยแล้วอุ้มมาทั้งคู่หลายหมื่นที่ใหญ่กลางมหาสมุทร จึงเอาหางกอดภูนั่นแปดอัน
            เมื่อนั้นมะกัดติงก็ได้บอกเอาไว้กับหนุมาน เจ้านั้นจงลงไป แล้วหนุมานก็คิดวิตกกังวล กูจะทำร้ายครั้งเดียวเอาไว้เลย หากว่ามันจะชักช้าไม่ได้ หนุมานก็เลยแกว่งลงไปหมด มะกัดติงก็รีบหลบหนีไป แล้วหนุมานก็กระโดลงสู่มหาสมุทร เพื่อที่จะไล่ฆ่าอย่างเร็ว  เมื่อนั้นมะกัดติงก็รีบเร่งไป หนุมานยกมือขึ้นไหว้พ่อ หากว่าเกินแรงทั้งสองนั้นก็ได้หมดแรงไปเสียก่อน ถ้าหากขนใส่ลงไปแล้ว ปลานั้นมาคาบเอาไป หรือไม่ก็มะกัดติงนี้แหละที่พางานนี้ถดถอย ขอแค่ให้พระบาทนั้นตีให้ตาย แต่ข้ายังคิดโกรธเคืองเพราะมันไม่ฟังคำ พอเมื่อข้านั้นไปเอาก้อนภูผามาใส่ ตอนนั้นแล้วมันก็จะหันกลับมาแล้วพากันหนีไป ถึงในใจจะยังโกรธเคืองอยู่ แต่หากจะตีมันก็เปล่าประโยชน์  ต่อมามะกัดติงได้พูดคุยกับหนุมาน เจ้าจะทำร้ายข้าด้วยเหตุประการใด พ่อมอบให้เรานั้นไปแบ่งกันเอง ข้าก็ยอมให้เจ้านั้นลงไปสู่พื้นไม่ได้ให้มาเรียง แต่เจ้านั่นแหละที่พยายามที่จะเอาออก ถ้าอย่างนั้นหากจะตีข้าแล้ว ก็ต้องตีเจ้าด้วยเช่นกัน  ต่อมานั้นมะกัดติงก็ได้บอกว่าหนุมานนั้นทำลายเขื่อนทางไหลของน้ำ แล้วยังใช้ตัวข้านี้ไปแบกเอาเขา แล้วข้าก็เอามาเรียงกันเป็นคันนา เพราะไม่ได้ทิ้งลงเพียงครั้งเดียว หนุมานก็พูดอะไรไม่ออก บัดนี้แล้วต่างก็ว่าตัวดีจริงๆ อันนี้มาประจมพูดว่าตัวดีอย่างนั้นดีอย่างนี้
            เมื่อนั้น พระรามก็โกรธข้าบ่าวอย่างหนุมาน ต่อว่าบักคนร้าย ช่างพูดจาประจบประแจงเสียจริงๆ แต่ว่าแล้วก็เหมือนกับที่มะกัดติงพูดเอาไว้  ต่อจากนั้นพระรามก็โมโหมากแล้วกล่าวว่า กูจะตีมึงให้สมใจที่กูโกรธมึง ทางมะกัดติงก็ขอตัวลาจากตรงนั้นไปจะได้สะดวก ข้าจะส่งเจ้ากลับไปบ้านเมืองเก่า แล้วข้าจะอยู่คนเดียวนั้นข้าเป็นผู้ประเสริฐแล้ว ข้าก็ไม่เกรงกลัวอะไร เมื่อนั้นก็ยอมมะกัดติงหากว่าอย่าพึ่งคิดรำคาญ หากเจ้าจะกลับนั้นก็ให้ธุระเสร็จเสียก่อน แล้วข้าจะไปขัดขืนเจ้าใดเลย
            บัดนี้ กูจะตีมึงจริงๆสมกับที่พูดเอาไว้ เป็นเพราะมึงนี่แหละที่ทำให้กูต้องหยุดกะทันหัน ที่จริงแล้วที่เจ้าราชาท่านพ่อ หากว่าเจ้าจะตีข้านั้นข้าจะไม่ขัดขืนใดๆเลย จากนั้นหนุมานก็ก้มหน้าแล้วยอมให้พ่อตีสามครั้ง ข้าก็เนรมิตหินแผ่นทั้งหลายรอบตัว แล้วก็ทิ้งลงไปสู่พื้นใต้น้ำไม่ให้เห็น จากนั้นทางด้านพระรามก็ออกมาอย่างเร่งรีบ เพราะไม่สบายจากที่โดนตีสามครั้งแต่หนุมานก็ยังมองเห็นพ่อ ข้าก็พยายามตีแกว่งหินก้อนนั้นแต่ก็ไม่ขยับ พอพระรามตีแก้วหนุมานแล้วแต่ข้าก็มากราบไหว้ทูลถวายพระพ่อ จากนั้นพระรามได้พูดคุยกับหนุมานว่า ตั้งแต่ต่อไปอย่าทำแบบนี้อีก จำเอาไว้ แล้วก็สั่งสอนหนุมานต่ออีกว่า เจ้านี้จงเป็นแก้วโชคมณีที่เรืองแสง ให้เพิ่มพูนบ้านเรือนแก่พ่อแม่และผู้ที่เลี้ยงดูเจ้ามา อย่าได้เหมือนลูกหินลูกดินที่เนรคุณ เป็นคนชั่วนั้นชาวบ้านก็จะเย้ยหยันเอาได้ ตนที่ประเสริฐนั้นจะได้ครองบ้านเมืองเป็นดั่งกษัตริย์ ให้เหมือนดั่งดวงแก้วที่คอยสว่างไสวตลอดเวลา
            เมื่อนั้น หนุมานเตือนหมู่นกกา พวกแกทั้งหลายอย่าได้นานให้เตรียมตัวเอาไว้ดีๆเพราะมาอยู่กลางเกาะใหญ่กลางมหาสมุทร เผื่อว่าจะข้ามฟากไม่ได้เพราะทางนั้นก็อาจจะมองไม่เห็นเราแรงเราเหลือไม่มาก เรามาอยู่ที่นี่ได้เกือบสามปีเต็ม แล้วก็ไม่ได้ย้ายไปที่ไหนอีกเลย แล้วทีนี้จะพากันย้ายทั้งหมด ไม่อยู่ค้างอีกแล้ว จากนั้นก็ได้ยินเสียงกลองสะบัดไชย แล้วก็พากันย้ายทั้งพลกันไปหมู่เกาะอื่น คราวนี้ตั้งองค์พระรามพระก็ทรงพายสารอยู่กลางเหล่าพลทั้งหลาย แต่นั้นพวกพ้องพลช้างก็ออกเดินทางไปอย่างช้าๆโดยที่ไม่ได้พักเลยจนกระทั่งเช้า เมื่อนั้นแล้วพอถึงตอนค่ำพระอาทิตย์ตกดิน พระบาทก็สั่งให้หยุดพักตรงนี้เสียก่อน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น